สารจากคณะกรรมการบริษัท

"กล่าวสวัสดีผู้ถือหุ้นทุกท่าน ปีพุทธศักราช 2565 ถือเป็นปีแห่งความหวังของทุกคน เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) ที่ส่งผลกระทบในหลายประเทศทั่วโลกมาหลายปี เริ่มกลับเข้าที่เข้าทางแล้ว ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจจากต่างประเทศด้วยโครงการนำร่องที่เรียกว่า “แซนด์บ็อกซ์” (Sandbox) ทำให้ผลการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตขึ้นถึง 2.6% ในปีพ.ศ. 2565 โดยมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ 17.4 ล้านล้านบาท (495 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อเทียบกับการเติบโตเพียง 1.5% ในปีพ.ศ. 2564 อนึ่ง ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจนี้เป็นผลมาจากการฟื้นฟูการท่องเที่ยว และการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ"
คณะกรรมการบริษัท
บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน)

นอกจากนี้ การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของผู้บริโภคเองก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 5.7% ในช่วงปีที่ผ่านมา นำมาซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจความงามของคาร์มาร์ท ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล

ในปีพ.ศ. 2565 ถึงแม้จะมีผู้แสดงความเห็นมากมายว่าประเทศไทย “กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง ทว่าสภาพแวดล้อมโดยรวมภายในประเทศกลับมามั่นคงในช่วงปีที่ผ่านมา จึงทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้น สถานการณ์นี้สวนทางกับสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงดำเนินอยู่ เนื่องจากสงครามนี้ส่งผลให้เกิดอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก และนำไปสู่สถานการณ์เงินเฟ้อที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายศตวรรษ ในประเทศไทยเองอัตราเงินเฟ้อทั่วไปก็แตะระดับสูงสุดในรอบ 24 ปีที่ผ่านมา โดยสูงถึง 6.08% ในปีพ.ศ.2565 อันมีอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2.5% ด้วยเหตุนี้เอง ทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจจึงมีราคาที่สูงขึ้น การควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับทีมผู้บริหาร

สืบเนื่องจากการคว้าโอกาสทางการค้าที่กำลังผลิดอกออกผล รวมถึงการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากเงินเฟ้อในช่วงระยะสิ้นวิกฤตการณ์นี้ ทำให้บริษัทมียอดขายจากผลประกอบการมูลค่ากว่า 1,910 ล้านบาทในปีงบประมาณที่ผ่านมา คิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 27.08% จากปีพ.ศ.2564 และกำไรสุทธิอยู่ที่ 17.12% หรือ 327 ล้านบาทของยอดขาย ซึ่งเมื่อเทียบกับผลประกอบการของปีก่อนหน้า มีอัตราผลกำไรเพิ่มขึ้นถึง 11.60% และการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจนี้ยังส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นทุกท่านเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 228.80 ล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่า 0.26 บาทต่อหุ้น สรุปรวมอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 26.62% ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนจากสินทรัพย์คือ 17.04% และมีกำไรสะสมมากถึง 515 ล้านบาท ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าคาร์มาร์ทยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

สุดท้ายนี้ ในฐานะตัวแทนของคณะกรรมการทุกท่าน ผมขอแสดงความขอบคุณต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกท่านอย่างสุดซึ้ง โดยเฉพาะพนักงานทุกท่านที่ยืนหยัดและฝ่าฟันมรสุมครั้งใหญ่มาด้วยกันตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา ทีมงานคาร์มาร์ทยังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันเพื่อก่อให้เกิดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ และขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเดินทางสู่เป้าหมายตามวิสัยทัศน์ของบริษัท เพื่อที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้านธุรกิจความงามสำหรับทุกคนทั่วโลกร่วมกัน