จัดตั้งบริษัท เซ็นทรัล ออดิโอ จำกัด ดำเนินธุรกิจประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า
บริษัทได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในนามบริษัท ไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)

เริ่มธุรกิจนำเข้าเครื่องสำอาง,ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และผลิตภัณฑ์ประเภทสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อจัดจำหน่ายในช่องทางต่างๆ ภายใต้เครื่องหมายการค้าคาร์มาร์ท ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายรถยนต์ และอุปกรณ์เอ็นจีวี
จากยอดขายที่โตขึ้นกว่า 100% ในธุรกิจเครื่องสำอาง ภายใต้เครื่องหมายการค้าคาร์มาร์ท
เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก บริษัท ไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็น บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการ
บมจ. คาร์มาร์ทเข้าสู่ธุรกิจเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และประเภทสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างเต็มตัวในธุรกิจ
สินค้าขยายเข้าสู่ช่องทางการจัดจำหน่ายทุกช่องทาง และเริ่มขยายธุรกิจสู่การส่งออกสินค้าในภูมิภาคเอเชีย
ขยายช่องทางโดยหาพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจศักยภาพในการเปิดตลาดต่างประเทศ ตลอดจนเปิดบริษัทย่อยในนาม บริษัท เจ คอส แลบอราทอรีส์ จำกัด ขึ้นซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและแบ่งบรรจุเครื่องสำอาง เครื่องหอม อุปกรณ์เครื่องมือและเครื่องใช้เสริมความงามทุกชนิด และลงทุนเพิ่มในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กับบริษัท ดิ ไอโคนิค พรอพเพอร์ตี้ จำกัด เพื่อมองหาการลงทุนเพิ่มแบบใหม่ ๆ
บริษัทฯ ขยายธุรกิจสู่การส่งออก โดยได้ร่วมการค้ากับ Karmarts Vietnam Company Limited ในประเทศเวียดนาม
เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 บริษัทฯได้ลงทุนใน บริษัท คาร์มาร์ท เวียดนาม จำกัด ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งในประเทศเวียดนาม ในอัตราส่วนคิดเป็นร้อยละ 49 ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว บริษัทฯได้บันทึกเงินลงทุนในบริษัทดังกล่าวเป็นเงินลงทุนในการร่วมค้า
บริษัทฯได้เริ่มสร้างอาคารโกดังและโรงงานบรรจุและประกอบแพ็คเกจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพิ่มอีก 1 แห่ง เพื่อควบคุมคุณภาพ ต้นทุน ระยะเวลาการผลิต และเพื่อตอบสนองการเติบโตของตลาด
บริษัทฯ ดำเนินการ Re-Brand และปรับภาพลักษณ์ Corporate logo และร้านค้า Karmarts shop ของบริษัทฯ ให้มีความทันสมัย และตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น
บริษัทฯ ดำเนินการ เปิดแผนกบรรจุและประกอบแพ็คเกจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
บริษัทฯ ได้ดำเนินการสั่งเครื่องจักรเพื่อผลิตหน้ากากอนามัย เนื่องจากเกิดภาวะการขาดแคลนหน้ากากอนามัยซึ่งมีความจำเป็นในสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อ COVID-19 ในช่วงต้นปี 2563
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม และ 12 พฤศจิกายน 2564 บริษัทได้เข้าลงทุนในบริษัท ป่า ดอนพุทรา จำกัด ในอัตราส่วนคิดเป็นร้อยละ 86 ของทุนที่ออกและเรียกชำระ 200,000 หุ้น ๆ ละ 100 บาท ในบริษัทดังกล่าว และมีสถานะเป็นบริษัทย่อย และ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน บริษัทฯ ได้ลงทุนในบริษัท เคเจเอฟ โกลเบิล จำกัด ในอัตราส่วนคิดเป็นร้อยละ 99 ของทุนที่ออกและเรียกชำระ 10,000 หุ้น ๆ ละ 100 บาท ในบริษัทดังกล่าว และมีสถานะเป็นบริษัทย่อย
เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2565 บริษัท ป่า ดอนพุทรา จํากัด มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนของบริษัท ป่า ดอนพุทรา จํากัด จํานวน 240 ล้านบาท (หุ้นสามัญ 2.4 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท) หลังการเพิ่มทุน บริษัทย่อยมีทุนจดทะเบียนจํานวน 260 ล้านบาท (หุ้นสามัญ 2.6 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท) เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565 บริษัทย่อยได้จดทะเบียนเพิ่มทุนกับกระทรวงพาณิชย์ และเรียกชําระค่าหุ้นเต็มจํานวน
บริษัทฯได้ชําระค่าหุ้นเพิ่มทุนจํานวน 206.4 ล้านบาท (2.064 ล้านหุ้น หุ้นละ 100 บาท) และผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอํานาจควบคุมของบริษัทย่อยได้ชําระค่าหุ้นเพิ่มทุนจํานวน 33.6 ล้านบาท (0.336 ล้านหุ้น หุ้นละ 100 บาท) โดยบริษัทฯยังคงถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว ในสัดส่วนร้อยละ 86.00
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯได้มีมติอนุมัติการขายหุ้นสามัญของ บริษัท ป่า ดอนพุทรา จํากัด จํานวน 182,000 หุ้นในราคาหุ้นละ 100 บาท (รวม 18.2 ล้านบาท) ให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกัน 2 คน จํานวนหุ้นที่ขายคิดเป็นร้อยละ 7.00 ของทุนจดทะเบียนและเรียกชําระแล้วของ บริษัทย่อย ภายหลังการขายเงินลงทุน บริษัทฯจะเหลือสัดส่วนในการถือหุ้นร้อยละ 79.00 โดยบริษัทฯ ยังคงมีการควบคุมในบริษัทย่อยแห่งนี้
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 บริษัท เคเจเอฟ โกลบอล จํากัด มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจํานวน 9 ล้านบาท (หุ้นสามัญ 90,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท) หลังการเพิ่มทุนบริษัทแห่งนี้มีทุนจดทะเบียนจํานวน 10 ล้านบาท (หุ้นสามัญ 100,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท) บริษัทฯ ซื้อหุ้นเพิ่มทุนและชําระค่าหุ้นเพิ่มทุนจํานวน 4.1 ล้านบาท (หุ้นสามัญ 41,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท) หลังการเพิ่มทุน สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯในบริษัทแห่งนี้คิดเป็นร้อยละ 51.00 โดยบริษัทฯยังคงมีการควบคุมในบริษัทย่อยแห่งนี้ บริษัทย่อยได้จดทะเบียนเพิ่มทุนกับกระทรวงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565